เลือกแหวนแต่งงานผู้หญิงทั้งที ต้องดีที่สุดสำหรับคุณ
หากคุณเป็นว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังมองหาแหวนแต่งงานผู้หญิงให้แก่คู่รักของคุณ หรือคุณกำลังจะเป็นเจ้าสาวและต้องการเลือกแหวนแต่งงานด้วยตัวเอง แต่ยังไม่รู้ว่าควรใช้เกณฑ์ไหนในการเลือกแหวน วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝากพวกคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเองและคนที่คุณรัก
เลือกแหวนแต่งงานผู้หญิงจากอะไรบ้าง
1. เลือกจากงบที่ตั้งไว้
ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการแต่งงาน เพราะนอกจากจะช่วยคุมงบงานแต่งเพื่อนำไปลงกับส่วนอื่นได้แล้ว ยังช่วยให้คุณมีทางเลือกในการซื้อแหวนง่ายขึ้น เพราะแหวนมีหลายรูปทรงหลายราคามาก การมีงบที่ตั้งไว้ในใจจะช่วยให้คุณเลือกได้เฉพาะรูปทรงที่ราคาไม่เกินงบ
2. เลือกจากขนาดนิ้ว
โดยทั่วไปนิ้วคนเราแบ่งออกเป็น 5 แบบ หากคุณเลือกแหวนที่ตรงกับประเภทนิ้วคุณแล้วล่ะก็ จะช่วยให้แหวนดูสวยงามโดดเด่นมากขึ้นด้วย แต่หากเลือกแหวนผิดกับนิ้วก็อาจลดความมั่นใจในการใส่แหวนให้แก่คุณได้ด้วย
- นิ้วมือสั้น ควรเลือกแหวนที่มีก้านแหวนเล็ก หัวแหวนทรงหยดน้ำ, หัวใจ หรือวงรี ไม่ควรเลือกแหวนที่มีก้านแหวนหนาและมีหัวแหวนกลมหรือเหลี่ยม เพราะจะทำให้นิ้วดูสั้นกว่าเดิม
- นิ้วยาว ควรเลือกแหวนที่มีก้านแหวนหนา เน้นหัวแหวนขนาดใหญ่ (ทรงไหนก็ได้) ไม่ควรเลือกแหวนที่มีก้านบาง หัวแหวนเล็ก เพราะจะทำให้นิ้วดูยาวเกินไป
- นิ้วกลม ควรเลือกแหวนที่มีก้านหนาพอดี เน้นหัวแหวนรูปหัวใจ ไม่ควรเลือกหัวกลม เพราะจะทำให้นิ้วดูกลมกว่าเดิม
- ข้อนิ้วใหญ่ ควรเลือกแหวนที่มีก้านแหวนขนาดไม่ต่ำกว่า 1 เซนติเมตรขึ้นไป เน้นหัวแหวนใหญ่และแซมด้วยเพชรขนาดเล็กล้อมรอบ หรือก้านแหวนมีลวดลาย ไม่ควรเลือกแหวนที่ก้านบางเกินไป เพราะจะทำให้ข้อนิ้วดูใหญ่กว่าเดิม
3. เลือกจากส่วนประกอบของแหวนแต่งงาน
แหวนมีส่วนประกอบสำคัญ 2 อย่าง คือ เพชรและตัวเรือน โดยเพชรที่นิยมนำมาทำเป็นแหวนแต่งงานผู้หญิงแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ เพชรเม็ดกลาง ซึ่งเป็นเพชรขนาดใหญ่ที่สุดบนตัวเรือนแหวน และเพชรประกอบตัวเรือน เป็นเพชรขนาดเล็กประดับล้อมรอบเพชรเม็ดกลางเพื่อเสริมให้เพชรเม็ดกลางดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
3.1 เลือกจากเพชร
เราขอแนะนำวิธีเลือกเพชรแบบง่ายจากหลัก 4Cs ประกอบด้วย
- Cut (การเจียระไน) ยิ่งเพชรมีการเจียระไนที่คมและสวยงามมากเท่าไหร่ ราคาก็สูงขึ้นตามด้วย
- Colour (สีของเพชร) เพชรที่มีมูลค่าสูงจะเป็นเพชรไร้สี หรือมีสีขาวสะอาด ไม่มีสีอื่นปะปน แตกต่างจากเพชรที่มีสีเหลืองหรือน้ำตาลซึ่งมีราคาต่ำและหาซื้อง่าย แต่ร้านทองส่วนใหญ่ไม่นิยมขาย เนื่องจากเป็นเพชรคุณภาพไม่ดี
- Clarity (ความสะอาด) หากเพชรมีตำหนิตามธรรมชาติน้อยก็ยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมาก จึงมีราคาสูงกว่าเพชรที่มีตำหนิมาก
- Carat (กะรัต) ยิ่งเพชรเม็ดใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีราคาสูงตามด้วยเช่นกัน ส่วนราคาของเพชรมีดังนี้
- ขนาด 0.18 – 0.22 กะรัต ราคา 30,000 – 40,000 บาท
- ขนาด 0.30 – 0.40 กะรัต ราคา 50,000 – 70,000 บาท
- ขนาด 0.50 – 0.60 กะรัต ราคา 80,000 – 90,000 บาท
- ขนาด 0.60 – 0.70 กะรัต ราคา 100,000 – 150,000 บาท
- ขนาด 0.80 – 0.90 กะรัต ราคา 18,000 – 23,000 บาท
- ขนาด 1 กะรัต ราคาประมาณ 250,000 บาทขึ้นไป
3.2 เลือกจากตัวเรือน
- ทองคำแท้ (Gold) ตัวเรือนส่วนใหญ่มักทำจากทองคำ 75 – 80% ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน เพื่อให้ทองแข็งแรงพอที่จะยึดเกาะเพชรและพลอย
- ทองคำขาว (White gold) หรือ ไวท์โกลด์ ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและส่องประกายได้ดีคล้ายแพลทินัม แต่ราคาถูกกว่า ทองคำขาวผลิตขึ้นจากการนำทอง 18K (ทองคำ 75%) ผสมกับอัลลอยเพื่อเพิ่มความขาวและชุบขาวให้สวยงามยิ่งขึ้น
- พิงค์โกลด์ (Pink Gold) เกิดจากทองคำ 18K ผสมกับอัลลอยสีออกทองแดง
- แพลทินัม (Platinum) เป็นโลหะที่มีจุดเด่นในเรื่องของความทนทานและปราศจากส่วนผสมของทองคำ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายผิวแก่ผู้สวมใส่ แต่ตัวเรือนแพลทินัมมีราคาสูงกว่าตัวเรือนประเภทอื่น
4. เลือกจากหน้าตัดที่ชอบ
- Classic Court เป็นหน้าตัดแหวนโค้งมนแบบดั้งเดิม สวมใส่สบาย
- Concave เป็นหน้าตัดแหวนทรงเว้า ด้านในเป็นเส้นตรงและโค้งบริเวณมุม ส่วนด้านนอกจะเป็นมุมโค้งมนเว้าลง
- D (D-shaped) มีรูปทรงคล้ายหน้าตัดโค้งมน แต่ด้านบนจะโก่งสูงขึ้นมากกว่าและตัวแหวนโดยรวมจะบางกว่า เพราะด้านในของแหวนแบนราบ หน้าตัดแบบนี้เหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่มีกิจกรรมให้ทำตลอดเวลา
- Double Comfort มีหน้าตัดของแหวนเหมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่มุมด้านข้างโค้งมน ไม่ตัดตรงมากเหมือนทรงของ Flat
- Flat เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบนราบทั้งด้านนอกและด้านใน ให้ความรู้สึกเรียบง่าย ใส่สบาย
- Flat Court เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบนราบที่มีด้านนอกแบนเรียบ ส่วนด้านในแหวนโค้งมน มีหน้าตัดแหวนโค้งมน
5. เลือกจากรูปทรงและความหมาย
- เพชรทรงกลม (Round Brilliant Cut Diamond) เป็นทรงเพชรยอดนิยมเนื่องจากมีหน้าเพชรมากถึง 58 ด้าน สะท้อนแสงไฟได้ดี ส่งผลให้เพชรดูโดดเด่นมีประกาย เราขอแนะนำให้เลือกเพชรเจียระไนระดับ 3 Excellence หรือ Very Good เพื่อเสริมให้เพชรสวยยิ่งขึ้น ความหมายของเพชรทรงกลมสื่อถึงความรักอันเป็นนิรันดร์
- เพชรทรงไข่ (Oval Cut Diamond) เป็นเพชรทรงวงรี ตัวเพชรจึงดูใหญ่กว่าเพชรทรงอื่น แถมยังส่องได้ประกายไฟสวยงามไม่แพ้ทรงอื่นอีกด้วย เราขอแนะนำให้เลือกเพชรสีขาวเพื่อเพิ่มออร่าของเพชรให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ความหมายของเพชรทรงไข่สื่อถึงความน่าทะนุถนอม
- เพชรทรงมาร์คีส์ (Marquise Diamond) มีรูปทรงคล้ายเมล็ดข้าว เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการประหยัดงบ แต่มีข้อจำกัดอยู่ที่การเลือกแบบให้เหมาะกับเพชรทรงนี้ยากพอควร ความหมายของเพชรทรงมาร์คีส์สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง
- เพชรทรงหัวใจ (Heart Cut Diamond) โดยทั่วไปจะมีสัดส่วนสมมาตรกันทั้งซ้าย-ขวา แนะนำให้เลือกตัวเรือนฝังหนามเตย 3 หนาม เพื่อเน้นส่วนขอบของหัวใจให้เด่นยิ่งขึ้น ความหมายของเพชรทรงหัวใจสื่อถึงความรัก ความปรารถนาดี และความชื่นมื่นในชีวิตคู่
- เพชรทรงหยดน้ำ (Pear Shaped Diamond) เป็นรูปทรงที่ผสมผสานระหว่างความกลมมนและมีปลายแหลม ด้วยวิธีเจียระไนแบบ Brilliant Cut จึงทำให้เพชรมีหน้ากว้างหากเทียบกับทรงอื่น ส่วนใหญ่จะเน้นปลายแหลมชี้เข้าตัวเพื่อหันมายังหัวใจของผู้สวมใส่ สื่อถึงความรักอันหนักแน่น
- เพชรสามเหลี่ยม (Trillion Cut Diamond) จุดเด่นอยู่ที่ความกว้างของหน้าเพชรสามเหลี่ยมที่ทำให้เพชรทรงนี้ดูใหญ่กว่าเพชรทรงอื่น เหมาะสำหรับประดับเพชรเม็ดหลักในแหวนเพชรแต่งงาน หรือใช้ตกแต่งส่วนรอบของเพชรเม็ดใหญ่ เราขอแนะนำให้เลือกแบบที่มีหนามเตย 3 มุม เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนแหลมของเพชรไปสัมผัสสิ่งต่าง ๆ จนเกิดรอย ความหมายของเพชรทรงสามเหลี่ยมสื่อถึงพลังอำนาจและความรัก
- เพชรทรงสี่เหลี่ยม (Princess Cut Diamond) เป็นเพชรทรงสี่เหลี่ยมที่สามารถเล่นไฟได้ดี เราขอแนะนำให้ฝังหนามเตยลงบนตัวเรือนทั้ง 4 ด้าน เพื่อการเล่นไฟที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ความหมายของเพชรทรงสี่เหลี่ยมสื่อถึงความสง่างาม เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
- เพชรทรงเอมเมอรัล (Emerald Cut Diamond) เป็นทรงที่เด่นเรื่องพื้นที่หน้าเพชรกว้าง ช่วยรับแสงไฟเพื่อสะท้อนกับเส้นตรงภายในที่เจียระไนได้ดี เราขอแนะนำให้เลือกความสะอาดของเพชร (Clarity) ไม่ต่ำกว่า VS2 เพื่อกลบตำหนิของเพชรบนหน้าเพชร ความหมายของเพชรทรงเอมเมอรัลสื่อถึงความสงบสุข
- เพชรทรงสี่เหลี่ยมขอบมน (Cushion Cut Diamond) มีจุดเด่นอยู่ที่การเจียระไนซึ่งผสมระหว่างการเจียระไนแบบเพชรกลมและแบบเพชรเอมเมอรัล จึงเล่นไฟได้ดี เราขอแนะนำให้เลือกแบบลึกและมีหน้ากว้างไม่เกิน 70% ความหมายของเพชรทรงสี่เหลี่ยมขอบมนสื่อถึงความรัก ความสวยงาม และช่วยเสริมความมั่นใจให้คุณผู้หญิงได้ดี
- เพชรทรงแอชเชอร์ (Asscher Cut Diamond) เป็นเพชรที่มีขั้นบันไดลึกกว่าเอมเมอรัลคัท ช่วยให้เล่นไฟได้โดดเด่น เราขอแนะนำให้เลือกสีที่สูงกว่า H และความสะอาดที่สูงกว่า VS เพื่อให้ได้เพชรน้ำงามยิ่งขึ้น เชื่อกันว่าเพชรทรงแอชเชอร์จะช่วยเสริมดวงความรักของคุณและคู่ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
6. เลือกจากสัดส่วนของเพชร
ยิ่งเจียระไนสัดส่วนของเพชรได้ดีเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนไฟได้ดีมากขึ้นเท่านั้น แนะนำให้ดูสัดส่วนของเพชรจากใบเซอร์ โดยแบ่งสัดส่วนออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Cut Grade: Excellent, Polish: Excellent และ Symmetry: Excellent
7. เลือกจากสีของเพชร
เพชรน้ำ 100 หรือ D Color เป็นเพชรไร้สี จึงมีความสะอาดมากที่สุด หากไม่ใช่เพชรน้ำ 100 จะมีโทนสีอมเหลืองหรือน้ำตาลอยู่บ้าง จึงมีราคาต่ำลงมาจากเพชรน้ำ 100 ตามลำดับ ดังนี้
- D Color น้ำ 100
- E Color น้ำ 99
- F Color น้ำ 98
- G Color น้ำ 97
- H Color น้ำ 96
- I – Z Color จะมีสีเหลืองจนเห็นได้ชัด
8. เลือกจากตำหนิของเพชร
เพชรเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ หากเพชรมีตำหนิน้อยเท่าไหร่แสดงว่าเพชรมีความสะอาดมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเพชรตำหนิน้อยจึงมีราคาสูง ส่วนเกณฑ์การวัดระดับความสะอาดของเพชรจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด คือตั้งแต่ IF, VVS1, VVS, VS1, VS2, SI1, SI2, I1, I2 และ I3
9. เลือกจากใบเซอร์เพชร
เนื่องจากใบเซอร์เพชรเป็นใบที่บ่งบอกลักษณะและคุณสมบัติทั้งหมดของแหวนเพชรที่คุณซื้อไป ซึ่งออกโดยสถาบันเพชรที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่างเช่น GIA (Gemological Institute of America), HRD (HRD Antwerp) และ IGI ( International Gemological Institute) จึงการันตีได้เลยว่าคุณจะได้เพชรน้ำดีที่เป็นเพชรแท้แน่นอน
10. เลือกจากร้านเพชรที่ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้อย่าลืมเลือกซื้อแหวนเพชรกับร้านที่ได้มาตรฐาน มีชื่อเสียงเป็นเวลานาน เพราะร้านเหล่านี้มีผู้เชี่ยวชาญคอยตรวจสอบเพชร พร้อมทั้งให้คำแนะนำที่ดีในการเลือกซื้อแหวนเพชรสำหรับแต่งงาน เพราะข้อมูลบางอย่างที่คุณสงสัยไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยการค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว สำหรับใครที่สอบถามข้อมูลกับทางร้านผ่านช่องทางออนไลน์ อย่าลืมตรวจสอบด้วยว่าเราติดต่อกับร้านเหล่านั้นจริง ๆ เพื่อป้องกันการถูกหลอกจากมิจฉาชีพนั่นเอง
ทำไมใครหลายคนถึงไว้วางใจ Irin Gems
ทางเรา ไอรินทร์เจมส์ เป็นร้านพลอยแท้, เพชรแท้ รวมถึงเครื่องประดับและของหลุดจำนำที่มีตัวตนมานานเกือบ 2 ทศวรรษ ทางเราไม่ใช่ร้านที่ไปรับของที่อื่นมาขายเพียงอย่างเดียว แต่เรามีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง จึงควบคุมกระบวนการผลิตเองทุกขั้นตอนและแบ่งกระจายสินค้าสู่ตลาดเครื่องประดับไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราสามารถดูแลเครื่องประดับที่มาจากร้านเพชรร้านทองอื่นได้ดีเหมือนเป็นสินค้าของร้านเราเอง
เราคือ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) ที่มีบริการ jewelry one stop service ตอบโจทย์ครบทุกปัญหาเกี่ยวกับเครื่องประดับตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตตัวเรือน ไปจนถึงเครื่องประดับสำเร็จรูป นอกจากนี้เรายังมีทีมดีไซน์ที่พร้อมออกแบบเครื่องประดับได้ ไม่ว่าจะซ่อม, ชุบ, ขัด หรือล้าง ตรงตามความต้องการของคุณ และที่สำคัญเรายังเป็นอาณาจักรของหลุดจำนำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งส่งตรงจากโรงรับจำนำทั่วเมืองไทยที่มีการอัปเดตสินค้าทุกอาทิตย์อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณได้รับความพึงพอใจสูงสุดจากการใช้บริการกับเราค่ะ