แนวโน้มราคาทองคําปี 2567

แนวโน้มราคาทองคําปี 2567 ปลายปีจะเป็นอย่างไร ลองอ่านกันค่ะ

จากกระแสข่าวด้านเศรษฐกิจที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยทำให้ผู้คนซื้อทองเก็บตุนเอาไว้มากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำโดดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบัน ว่าแต่แนวโน้มราคาทองคำปี 2567 ในช่วงปลายปีไปจนถึงช่วงต้นปี 2568 จะเป็นอย่างไร จะรุ่งหรือร่วงมากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจะมาวิเคราะห์ให้ฟังแบบเข้าใจง่ายกันค่ะ

แนวโน้มราคาทองคําปี 2567 ช่วงปลายปีนี้ จะเป็นอย่างไร

จากการวิเคราะห์ราคาทองคำตั้งแต่ช่วงต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน ทางเรายังคงมองว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจสูงถึง 40,000-45,000 บาท ได้เลยทีเดียว อันเนื่องมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่อาจมีผลทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นในระยะยาว บวกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ส่งผลให้ราคาทองคำราคาสูงขึ้นหากแปลงเป็นสกุลเงินดอลลาร์ รวมไปถึงภาวะสงครามทั้งจากรัสเซีย-ยูเครน หรืออิสราเอล-กลุ่มฮามาสก็ตาม ที่ทำให้ทองคำยังคงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในเดือนกันยายนของทุกๆ ปี จะเป็นช่วงที่ราคาทองคำตกลงอันเนื่องมาจากความผ่อนคลายในการลงทุน เนื่องจากเป็นช่วงพักผ่อนของชาวตะวันตก ทำให้นักลงทุนส่วนมากขายทองคำที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้เพื่อปิดความเสี่ยงจากความผันผวนในการลงทุน แต่ในช่วงกันยายน 2567 ที่ผ่านจะเห็นได้ว่าราคาทองไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแม้แต่น้อย และยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนทองคำกันอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดมาจนถึงปัจจุบันค่ะ

แนวโน้มราคาทองคําปี 2568 จะเป็นอย่างไร

หากดูจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจะพบว่านอกจากทองแล้ว โลหะมีค่าจะมีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นตรงกันว่าราคาทองอาจพุ่งสูงขึ้นถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณ 83,000-84,000 บาท) โดยมีสาเหตุมาจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อัตราดอกเบี้ย และความต้องการของทองในช่วงที่สงครามระหว่างประเทศยังไม่สงบลง นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าราคาทองอาจสูงขึ้นถึง 2,800-3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากเกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ

แนวโน้มราคาทองคําปีต่อๆ ไป จะเป็นอย่างไร

จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญพบว่าในปีหน้า 2568 ราคาทองอาจอยู่ที่ประมาณ 2,100-2,800$ ต่อออนซ์ (ประมาณ 70,022-99,360 บาท) อันเนื่องมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FED, การซื้อทองของธนาคารกลางประเทศต่างๆ, ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความตึงเครียดทางด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ

ส่วนราคาทองปี 2568 นั้นอาจอยู่ที่ประมาณ 2,300-3,000$ (ประมาณ 76,705-100,050 บาท) ต่อออนซ์ โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการที่สูงขึ้นในตลาดซื้อขายทองคำ, ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและยุโรป รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง

และในส่วนของปี 2569-2573 นั้นอาจมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงเป็นอย่างมาก เหลือเพียงประมาณ 1,700$ (ประมาณ 56,695 บาท) อันเนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงเพราะสงครามระหว่างประเทศยุติลง ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น หรือราคาทองอาจสูงขึ้นถึง 4,000$ (ประมาณ 133,400 บาท) หากสงครามยังคงดำเนินมาถึงปี 2573

วิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคําจากปัจจัยอะไรบ้าง

สำหรับใครที่ต้องการการวิเคราะห์ราคาทองคำเองนั้น เราขอแนะนำให้ดูจาก 3 ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis), การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์อารมณ์ของตลาด (Sentiment Analysis) โดยแต่ละปัจจัยจะมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

1. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกและการดำเนินการของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าทั่วโลก หาก FED มีการปรับดอกเบี้ยก็ย่อมมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐโดยตรง, การคาดการณ์ตลาดเงินเฟ้อ, การเคลื่อนไหวของสกุลเงินและปริมาณเงิน/อุปทานของเงิน (Money Supply), ดุลยภาพของการนำเข้าและส่งออก, ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งจากรัสเซียและยูเครน, ปาเลสไตน์และอิสราเอล, จีนและไต้หวัน, สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ, การคว่ำบาตรประเทศรัสเซีย ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสูงขึ้น ส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นตาม และนี่เองที่ทำให้นักลงทุนกลัวที่จะสูญเสียเงินทุนและหันมาลงทุนในการเทรดทอง (XAU) มากขึ้นเนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันในยามที่เศรษฐกิจและการเมืองตกต่ำ เพราะทองคำสามารถแปรสภาพและนำมาใช้ทำวัสดุอุปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงได้แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม เมื่อความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นก็ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น

2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การศึกษาประวัติราคา XAUUSD บนแผนภูมิโดยใช้ตัวบ่งชี้และเครื่องมืออื่นๆ ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาถือเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนทองไม่ควรมองข้าม เนื่องจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยกำหนดระดับแนวรับและแนวต้าน เส้นแนวโน้ม การทะลุและการกลับตัวของราคาที่เป็นไปได้ทั้งในช่วงของการซื้อขายระหว่างวันและในช่วงระยะยาวได้เช่นกันค่ะ

3. การวิเคราะห์อารมณ์ของตลาด (Sentiment Analysis)

แบ่งเป็นการประเมินอารมณ์ของผู้ซื้อและผู้ขาย, เครื่องมือวิเคราะห์อารมณ์ของตลาด ได้แก่ การสำรวจ การตรวจสอบเนื้อหาในเครือข่ายสังคม และแพลตฟอร์มออนไลน์เฉพาะทาง ยกตัวอย่างเช่น litefinance.org ทั้งนี้คุณจะต้องจำไว้ว่าอารมณ์ของตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ราคาทองคำในอนาคตจากนักวิเคราะห์มืออาชีพ หรือขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประธาน FED ได้แจ้งเอาไว้

แม้ว่าราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้น แต่หากคุณไม่ศึกษาตลาดทองคำให้ดี ซื้อขายทองในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมก็อาจทำให้คุณขาดทุนหรือได้กำไรไม่ตรงตามที่คุณคาดหวังไว้ หรือที่แย่กว่านั้นก็อาจเสี่ยงต่อการถูกมิจฉาชีพหลอกขายทองปลอมที่อาจทำให้คุณสูญเงินไปฟรีๆ เลยก็ได้ค่ะ

บทความที่น่าสนใจ

ซื้อทองแท้ ที่ไหนดี ทำไมต้อง Irin Gems

Irin Gems รับผลิตแหวน จำหน่ายเพชรหลุดจำนำ เพชรมือสอง แหวนหลุดจำนำ ทองหลุดจำนำ แหวนแต่งงาน ของหลุดจำนำ

Jewelry one stop service เป็นบริการจิวเวอร์รี่ที่เดียวที่ให้บริการดูแลเครื่องประดับในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขัด ล้าง ชุบ ออกแบบเครื่องประดับใหม่ ฝังพลอยฝังเพชร ฯลฯ เพราะเราคือ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) ที่มีบริการดังกล่าวเพื่อตอบโจทย์ครบทุกปัญหาเกี่ยวกับเครื่องประดับ ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตตัวเรือน ไปจนถึงเครื่องประดับสำเร็จรูป นอกจากนี้เรายังมีทีมดีไซน์ที่พร้อมออกแบบเครื่องประดับได้ ไม่ว่าจะซ่อม, ชุบ, ขัด หรือล้าง ตรงตามความต้องการของคุณ และที่สำคัญเรายังเป็นอาณาจักรของหลุดจำนำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งส่งตรงจากโรงรับจำนำทั่วเมืองไทยที่มีการอัปเดตสินค้าทุกอาทิตย์อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณได้รับความพึงพอใจสูงสุดจากการใช้บริการกับเราค่ะ

แชร์บทความ
Line

Your cart

No products in the cart.